ควาย...ขวิด
ผู้เข้าชมรวม
201
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ควายขวิด
ร้านอาหารเล็กๆ มุงหญ้าคาแบบง่ายๆ สไตล์ลูกทุ่งๆ บริเวณเยื้องๆ เกษตรเจ้าคุณทหาร เขตลาดกระบัง บนท้องที่ ที่คนทั่วไป เรียกว่าหัวตะเข้ มี 3 ใบเถา ที่มีวัยต่างกัน ทุกคนเป็นพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน วันเสาร์-อาทิตย์ ผมมักจะพบว่า เตี่ยของพี่จิ๊บ ชาวจีน รูปร่างใหญ่โต พูดไทยได้ชัดเจน เสียงดัง ชอบนุ่งกางเกงขาก๊วย และเสื้อเชิ้ต มักเคียนพุงด้วยผ้าขาวม้า จะนั่งหลาวไม้ไผ่ เพื่อสานสุ่มไก่ขาย สามสาวที่มีวัยต่างกัน มีหน้าที่ดูแล และทำหน้าที่เป็นแม่ค้าเพื่อบริการพวกเราชาวเกษตรเจ้าคุณ
ร้านอาหารแห่งนี้ ตั้งอยู่หลังเดียวโดดๆ ห่างจากใต้สะพานหอตาโข่ง หอพักถาวรรายแรกของลาดกระบัง ที่จัดแบ่งเป็นห้องๆ อย่างเป็นกิจลักษณะ ใครๆ ที่เป็นผู้โดยสารที่แขวงลำผักชี เขตหนองจอกเพื่อมาหัวตะเข้จะต้องผ่านร้านค้าแห่งนี้
คิวรถลำผักชี-หัวตะเข้ จะจอดอยู่ตรงกับร้านขายสลิ่มของสาวมุสลิมที่พวกเราเป็นลูกค้า สองสาวพี่น้อง จะเป็นผู้ที่เรียกแขก (ลูกค้า) ด้วยหน้าตาที่สวยขาว.. นี่เอง หากนั่งรถจากหัวตะเข้ไปลำผักชี จะต้องข้ามสะพานข้ามคลองประเวศ (ทางขึ้นตรงหน้าโรงงานฟุตบอลไทย) เมื่อข้ามสะพานตรงไป ก็จะถึงเกษตรเจ้าคุณทหาร หากเลี้ยวซ้ายบริเวณหัวมุมพอดี จะมีร้านขายข้าวแกง - อาหารตามสั่งและเครื่องดื่ม อย่างเช่น โอเลี้ยง กาแฟ น้ำอัดลม ที่สามสาว (โสด) จะเป็นผู้ให้บริการร้านพี่จิ๊บ นอกจากจะมีร้านขายข้าวแกงขายข้างนอกแล้ว ภายในสโมสรนักศึกษาของเกษตรเจ้าคุณ พี่จิ๊บก็ยังขายของหวาน และเครื่องดื่มชนิดต่างๆ บุหรี่ (แอบๆ ขายให้) รวมทั้งขนม ลูกอม ให้พวกเราอุดหนุน โรงอาหารของสถาบันในสมัยนั้น มีทางเข้า-ออก สองด้าน ปลูกสร้างเป็นชั้นเดียวทรงสูงด้านข้าง เป็นประตูไม้เปิด-ปิดได้สองฝั่ง ความยาวที่คะเนจากสายตากว้าง 8 เมตร ยาว 40 เมตร ภายในอาคาร มีโต๊ะที่พี่จิ๊บมาตั้ง ให้ลูกค้านั่งกินขนมหวาน-เครื่องดื่ม สูงจากพื้นขึ้นมาในระดับสายตา จะมีจอทีวีขาวดำ หนึ่งเครื่อง จอมีความใหญ่พอประมาณให้พวกเราได้นั่งดูข่าว ดูหนัง และ สิ่งบันเทิงต่างๆ
.........................................................................
หากพวกเราไม่ติดลงทำ แปลงผัก แปลงพืชไร่ หรือทำรายงาน ส่วนใหญ่ก็จะมาออกกำลัง ด้วยการเล่นแบดมินตัน เล่นตะกร้อ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เล่นหมากฮอส ที่ใช้ก้อนหิน-ก้อนกรวด ฝาน้ำอัดลม ที่เก็บได้แถวๆ นั้น มาแทนตัวหมากที่เคยซื้อมาแล้วหายไปเกือบหมด ต้องบอกว่า...หลังเลิกเรียนแล้ว ลงแปลงแล้ว กินข้าวเย็นแล้ว พวกเรามักจะมาใช้สโมสรเป็นที่ชุมนุมจับกลุ่มพูดคุย เล่นหมากฮอส เล่นแบดมินตัน ดูทีวี..เสียเป็นส่วนใหญ่ ..พอได้เวลา สามสี่ทุ่ม ก็จะเข้าพักผ่อนหลับนอน ทุกๆ เย็นวันศุกร์ ใครที่พักใกล้กรุงเทพ ก็จะเดินทางกลับบ้าน ใครที่อยู่จังหวัดไกลๆ หากเป็นวันหยุด ก็อาจจะเดินทางเข้าไปตามห้างพระโขนง แถวสยาม ย่านประตูน้ำ ใครใคร่ดูหนังก็เข้าไปดู ใครใคร่อยากจะเดินตากแอร์หรือ ไปซื้อกางเกง เสื้อ รองเท้า ก็ไปกันได้ ตามอัธยาศัย ไม่มีใครว่า พวกเราพี่ๆ น้องๆ เคยชินกับสิ่งเหล่านี้..
วันที่เกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่อง กับเรื่อง ควายขวิด นั้นเป็นวันก่อนเปิดเทอมสักหนึ่งวัน ผมจำได้ว่า....วันนั้นเป็นวันอาทิตย์พวกเรายังพักในหอพักหอหนึ่ง หลังจากที่พี่ๆ น้องๆ ที่คุ้นเคยกันดี แล้ว ก็มักไปมาหาสู่ ระหว่างกันและกัน ทุกอย่างหลังจบจากการรับน้องแล้ว เ ราจะมีความเป็นกันเอง เหมือนเนื้อเดียวกัน ไม่มีการกดขี่ ข่มเหง ด้านจิตใจใดๆ
เวลาบ่ายเศษๆ ของวันดังกล่าว...ในขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่ที่ร้านพี่จิ๊บ หลังจากกินข้าวแกง+ไข่พะโล้ครึ่งซึก ตบท้ายด้วยกาแฟเย็น สายตาก็อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ที่ร้านพี่จิ๊บรับมา เพื่อให้บริการลูกค้า หลายๆ ครั้งที่พวกเรา ไม่รู้จะไปไหน ร้านค้า 2 ร้านคือ ร้านภายในสโมสรข้างชอปช่างกล กับอีกร้าน ตรงหัวมุมใกล้สะพานหอนายโข่ง จะมีพวกเราไปนั่งสั่งข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว ขนม กินกาแฟเย็น นมเย็น น้ำแข็งใส ทั้งนั่งคุยกับเจ้าของร้านที่เป็นโสดกันทุกคน พี่จิ๊บ ณ เวลานั้น ช่วงนั้นคงใกล้สี่สิบ. รูปร่างของเธอผอม ปากแดง ผมยาวรวบมัดไว้ด้านหลัง นุ่งผ้าซิ่น มักชอบใส่เสื้อคอกระเช้า มักจะเคี้ยวหมากเหมือนคนสมัยเก่าๆ ช่างคุย พี่ก้อย มีรูปร่างท้วมออกมาอ้วนแบบเจ้าเนื้อ หน้าตาค่อนข้างดี ผมสั้น มักนุ่งกางเกงขายาว ออกจะขี้บ่น มีอายุวัยสามสิบต้นๆ ส่วนต้อย อายุสักสิบสี่สิบห้าเท่านั้น ร้านค้าแห่งนี้แบ่งเป็น 2 ล๊อค เวลาเปิดจะใช้ไม้ค้ำยันขึ้นทั้งสองด้านทำเป็นลักษณะเหมือน หน้าต่างเพื่อระบายอากาศ ภายในร้านมี โต๊ะ เก้าอี้ ที่ทำขึ้นเอง เพื่อใช้เป็นที่วางอาหาร ตามสั่ง มีโต๊ะพับ พร้อมเก้าอี้อลูมิเนียมและเก้าอี้ไม้ อยู่อีกสามสี่ตัว ภายในร้านแยกเป็นสองโซน คือ เป็นที่ขายข้าวและ ก๋วยเตี๋ยวโซนนี้วางถ้วยจาน ชาม ช้อน ถังสำหรับลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว และช่องใส่น้ำซุป ส่วนอีกโซนจะมีหม้อต้มน้ำกาแฟ มีถังชง มีที่กรองเม็ดกาแฟ ผงชา โอวัลติน มีกระป๋องนมข้น นม น้ำตาล แก้ว ถังน้ำแข็ง ร้านพี่จิ๊บส่วนใหญ่ ลูกค้าจะเป็น นศ. จากเกษตร ถึงร้อยละเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ สำหรับ นักศึกษาวิศวะ ถาปัด เป็นขาจร ที่นานๆ จะเข้ามาใช้บริการ เป็นเพราะครูอาจารย์ของคณะของเขา บอกกล่าว เตือนว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าข้ามถิ่นมาในบริเวณโซนเด็กเกษตรฯ เพราะอาจเกิดการ กระทบกระทั่ง จน มีเรื่องมีราวกันได้ ในความเป็นจริงแล้ว ในสังคมทุกๆ แห่งมีทั้งคนดี-คนไม่ดี แต่จะว่าไป บางทีบางครั้งคนของเรา บางคน มันก็เกินไป เที่ยวไประรานคนอื่นๆ ก่อน สมัยที่ผมเรียน ก็เคยเห็นบ่อยๆ ก็ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจ
เปิดเรียนใหม่ๆ ใครที่อยู่ไกล มักจะต้องเดินทางมาก่อน ช่วงที่เราเรียน มีเพื่อนทุกภาค อย่างภาคเหนือ มี ไอ้ม่อย ไอ้เผือก ซึ่งเป็นคนเชียงใหม่ ส่วนภาคใต้ มี สุรชัย อนันต์ เป็นคนชุมพร นครศรีธรรมราชมีหลายคน เช่น สุรพล ดาร์กี้ เป็นคนปัตตานี, ประหยัด อยู่กระบี่,ไอ้ชัยอยู่พังงาเพื่อนที่อยู่ภาคอิสานอยู่ อุบล สุรินทร์ ขอยแก่น ฯลฯ หลังจากกินข้าวเสร็จ เรียบร้อยแล้วผมก็หยิบหนังสือพิมพ์เก่าๆ มาอ่านฆ่าเวลา บ่ายคล้อย อากาศในเวลานั้น แม้จะอยู่ในช่วงปลายฝนแต่คงยังมีอากาศที่อบอ้าว ดีที่ยังมีลมพัดผ่าน เป็นระยะๆ ในทุกๆ ครึ่งชั่วโมงจะมีรถประจำทางหกล้อ ที่วิ่งผ่านหน้าเกษตรเจ้าคุณ โดยมีต้นทางที่ตลาดหัวตะเข้ ปลายทางที่ตลาดลำผักชี ซึ่งอยู่ในเขตหนองจอก ระยะทางไกลประมาณ สิบสองกิโลเมตรเศษๆ ถนนหนทาง การสัญจรไปมา บนถนนเส้นนี้บางช่วงมีฝุ่นตลบอบอวล เป็นหลุมเป็นบ่อ ช่วงหนึ่งผมค่อนข้าง จะได้มีโอกาสนั่งรถประจำทางสายนี้บ่อยๆ เพราะต้องไปพักอยู่ที่บ้านไอ้แดง ที่โรงสีที่หนองจอก
ถนนสายนี้... เรียกชื่อว่า ถนนฉลองกรุง เดิมชื่อ ถนนธนะวิถี นานกว่าชั่วโมงๆ จึงจะมีรถยนต์ วิ่งไปมาสักคันหนึ่ง การคมนาคมของคนส่วนใหญ่ในละแวกนี้มักใช้เรือหางยาว เรือพาย เสียงรถ ยนต์ บนถนน มักจะมาพร้อมกับฝุ่นเสมอ บางทีบางครั้ง บางวัน รถโดยสารจะมีผู้โดยสารเต็มคันรถจนล้น กระทั่งคนโดยสาร ต้องมายืนห้อยต่องแต่ง ผู้โดยสารที่ไม่อยากรอในเที่ยวต่อไป จึงยอมที่จะ ยืนเช่นนั้น และบางคนก็ต้องพร้อมที่จะขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ แต่ต้องเสียค่าโดยสารตามราคาปกติ ว่าไปแล้วการนั่งโดยสารบนหลังคารถ มันได้อรรถรส ได้บรรยากาศดีกว่าการนั่งโดยสารแบบปกติ อย่างมาก เพราะข้างบนหลังคารถ สามารถมองเห็นวิว ทิวทัศน์ มีลมพัดเย็นสบาย ผมมีประสบการณ์แบบนี้บ่อยครั้ง
ในวันที่เกิดเหตุการณ์ ขณะที่รถหกล้อสองแถว ซึ่งออกมาจากลำผักชี เมื่อผ่านคณะสถาปัตย์ คนที่นั่งบนหลังคารถ ได้เห็นว่าควายกำลังวิ่งไล่ขวิดอย่างเมามัน .. เมื่อรถใกล้ถึงทางโค้งบริเวณหน้าป้ายเกษตรเจ้าคุณทหาร โชเฟอร์ได้ชะลอความเร็วลงบริเวณหน้าร้านพี่จิ๊บ ได้มีเสียงหลายๆ คนในรถตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า
“ มีควายบ้าๆๆๆ ระวังควายบ้าขวิด มันกำลังวิ่งมาทางนี้..”
ผมชะเง้อมองที่ต้นเสียง..ด้วยเพราะความหวังดี ของคนไทย ที่เวลามีอะไรที่จะเป็นภัย กับคนอื่นๆ ก็มักจะบอกกันต่อๆ ไป ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่ออยู่บนรถจะลงมาบอกก็ใช่ที่ หนทางที่ทำได้ คือ ต้องร้องตะโกน เมื่อพวกเราที่อยู่ที่ร้านพี่จิ๊บได้ฟังแล้ว .. พี่จิ๊บก็จำต้อง ป้องกันตน เพื่อความปลอดภัยของร้านค้าไว้ก่อน ใครที่อยู่ในร้านในขณะนั้น.. ที่จะทำอะไรก็ช่วยกันคนละไม้ละมือ ใครอยู่ใกล้หน้าต่างก็ยื่นมือผลักให้มันลงมา แล้วล๊อคกลอน .. สักครู่ร้านค้าก็ต้องปิดตัวลง พวกเราที่อยู่ในร้านค่อยๆ หาที่กำบัง และที่หลบซ่อน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นควายบ้าตัวดังกล่าว พวกเราบางคนก็ข้ามไปที่ตึกอำนวยการบนชั้นสอง เพื่อมองควายที่มันกำลังคลุ้มคลั่ง
ไม่มีใครรู้เลยว่า เจ้าควายตัวนี้ มันมาจากไหน หลังจากรถโดยสารผ่านไปชั่วอึดใจ เสียงมอเตอร์ไซด์ คันเก่าๆ ซึ่งมีผู้ขับขี่สูงวัย กำลังขับรถหนีควายเปลี่ยวตัวนั้น อย่างทุลักทุเล พวกเราที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น สามารถมองเห็น เสี้ยววินาทีที่แกถูกควายไล่ และรอดพ้นเขาที่แหลมคม อย่างหวุดหวิด ซึ่งพวกเราเห็นกับตากันจริงๆ ทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดในเหตุการณ์ที่เห็นควายกำลังไล่ขวิดคนอย่างบ้าระห่ำต่างสันนิษฐานไม่ถูกว่า .. ควายมันไปเคียดแค้นอะไรมา หรือใครไปทำอะไรให้มันต้องโมโหอย่างนั้น
ตั้งแต่ช่วงปลายสะพานหอโข่ง ไปถึงตลาดหัวตเข้ ณ เวลาขณะนั้น คงน่าจะไม่มีใครรู้ข่าว เรื่องควายบ้า กำลังอาละวาด เพราะมันอยู่กันคนละซีกฝั่งคลอง ทางฝั่งที่เราอยู่เหมือนกับเป็นชนบท แต่พอข้ามสะพานไปอีกฝั่ง มันเหมือนกับฟากความเจริญ ซึ่งมีตลาด มีโรงหนัง มีร้านค้า มีที่ทำการของหน่วยราชการ จังหวะนั้นเอง ที่เพื่อนๆ พี่ๆ หลายคน ที่ขึ้นรถมาจากซอยอ่อนนุชก็ได้ทยอยเดินเข้ามาสถาบัน
สมัยก่อนบริเวณถนนใหญ่ พระโขนง ตลาดหัวตะเข้ เป็นดินลูกรังตลอด 21 กิโลเมตร เมื่อถึงวัดสี่ (ปลูกศรัทธา) ทุกคนรู้โดยอัตโนมัติว่า จะต้องเตรียมตัวลงจากรถเมล์ เพราะหากเผลอ (หลับ) ไป รถก็จะไปจอดเลยป้าย ส่วนใหญ่โชเฟอร์ที่ขับเส้นนี้เป็นประจำ จะรู้ดีว่า พอถึงวัดสี่ แล้วข้ามสะพาน หน้าไปรษณีย์ เมื่อถึงสวนพระนครแล้วจะต้องจอดให้พวกเราลง
เมื่อปี 2517 ที่รุ่นผมมาเรียน ด้านซ้ายมือ ช่วงข้ามสะพานหน้าไปรษณีย์ จะมีโรงงานทำรองเท้าบาจา พอเลยโรงงานรองเท้า มาสัก 20 เมตร ก็จะถึงแยกเข้าเกษตรเจ้าคุณทหาร รถโดยสารมักจะมาจอดเลยแยก ตรงเยื้องสวนพระนคร.. บริเวณนี้ในอดีต ยังไม่มีอาคารพาณิชย์ และโรงหนัง หญ้าจะขึ้นรก และมืดมาก ตรงนี้เป็นจุดเสี่ยงที่วัยรุ่นต่างถิ่นมักมาแอบมาตีหัวพวกเราเสมอๆ
ตัวเอกของเรื่อง คือ ไอ้แม๊ค เรียนรุ่นเดียวกันกับผมและยังเรียนห้องเดียวกันอีก ในวันที่เกิดเหตุการณ์ควายไล่ขวิดคน เมื่อรถโดยสารสายพระโขนงเที่ยวนั้น จอดเทียบป้ายให้ ผู้โดยสารลงมา จนหมด รถยนต์โดยสารก็ได้แล่นออกจากป้าย เพื่อไปส่งผู้โดยสารที่ปลายทางตลาดหัวตะเข้ต่อ... แม๊ค เดินหิ้วกระเป๋า อย่างคนอารมณ์ดี เขาไม่คิดและคาดไม่ถึงว่า ในไม่กี่นาทีจะเกิดเหตุการณ์ อะไรกับตัวเอง สองเท้าของเขาค่อยๆ เดินแบบทองไม่รู้ร้อน เขาหยิบจับหนังสือนิยายบางกอกขึ้นมาในระดับที่มองอ่านหนังสือได้ ตาก็จ้องอ่าน เท้าก็ก้าวย่าง พร้อมชำเลืองมองรถที่วิ่งสวนทางมาเป็นระยะๆ
จนเมื่อเดินถึงสะพานข้ามคลองประเวศ ใกล้ร้านขายของพี่จิ๊บ ซึ่งเหลือระยะทางไม่ถึงยี่สิบเมตร ก็จะถึงปากทางเข้าวิทยาลัยแล้ว ช่วงก่อนหน้า มีพวกเราบางคนได้ไป ยืนบนระเบียงตึกติดริมรั้ว เพื่อดูควายบ้าที่มันกำลังบ้าระห่ำ ไล่ขวิดคนขับจักรยานยนต์ที่ผ่านไปผ่านมา รายล่าสุด คือวัย 70 แกหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด ควายที่ไล่ขวิดคน ยังวิ่งไปวิ่งมาแถวๆ นั้น เมื่อสิ้นสุดทางตัน มันก็วิ่งย้อนกลับทางเดิม วิ่งไปวิ่งมาอย่างนี้หลายเที่ยว
แม๊ค ค่อยๆ ก้าวเท้า ลงจากสะพาน... เขากำลังเพลิดเพลินกับตัวละครจึงไม่สนใจ ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ แม้จะมีเสียงตะโกนเตือนว่า
"เฮ้ยๆๆๆๆๆ ระวังควายบ้า ขวิดๆๆๆๆ” เสียงตะโกน อย่างดัง จากพวกเรา
เขายังก้มหน้าก้มตาอ่านนิยายอย่างเมามัน จังหวะพอดี ที่ควายกำลังวิ่งย้อนกลับมาอีกรอบหนึ่ง ทั้งควายทั้งคน ได้...จ๊ะเอ๋... กันพอดี ฝ่ายหนึ่งพร้อมจู่โจมทำร้ายกับ ...เป้าหมาย... แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ระวังตัว และกำลังอิ่มเอิบกับความบันเทิง ไม่ทันเสียแล้ว แม๊ค ต้องผงะ.. ทำท่าจะใส่ตีนหมา
“ ควับ” ควายก้มตัวตวัดเขาที่แหลมคม เข้าที่หน้าท้องของแม๊ค จนล้มลง ควายยังไม่ทันได้ซ้ำอีกครั้ง รถยนต์ได้วิ่งมาโดยบังเอิญ กันร่างกันเขาไว้ จากปากต่อปากที่พวกเราพอจะรู้ข่าวว่ามีควายกำลังไล่ขวิดคนแล้ว ครู่ต่อมา ..พวกเรากว่าสามสิบคนก็ได้ เตรียมอุปกรณ์ เชือก ไม้ ไล่ต้อนมันจนจนมุมแล้วจับผูก ไว้ที่ริมรั้ว ...แม๊คถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล ผมและเพื่อนอีกสามสี่คน พยุงเขา ขึ้นรถตู้ของวิทยาลัย พาไปส่งที่โรงพยาบาลตำรวจ
“ไม่เป็นไรหรอกเพื่อน แผลไม่ลึกเท่าไหร่ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้วล่ะ...” ผมและเพื่อน พยายามปลอบใจเขา
แม๊ค เอามือกุมบาดแผลที่ท้อง มีเลือดไหลออกมาบ้าง แผลไม่ลึกเท่าไหร่ ประมาณเกือบชั่วโมงจากวิทยาลัยเกษตร มาโรงพยาบาลตำรวจ เมื่อรถมาถึงโรงพยาบาลแล้ว มีรถเปล มารับคนป่วยเพื่อเข้าไปตรวจที่ห้องแพทย์ เราสองสามคนได้ไปที่ห้องแผนกทะเบียนบัตร
ภายในห้องทำงาน มีเจ้าหน้าที่เวรสองคนที่เป็นชายคน -หญิงคน เขาได้สอบถามข้อมูล เพื่อจะได้ทำบัตรประวัติผู้ป่วย เพื่อเก็บข้อมูลไว้ เจ้าหน้าที่ชายเอ่ยสอบถามชื่อเสียงเรียงนาม
“ชื่อนายสุรวุท โนรีกุลชัย เป็นนักศึกษาวิทยาลัยเกษตร อายุ 20 ปี...” เพื่อนคนหนึ่งบอกเจ้าหน้าที่
“ เป็นอะไร ถึงได้มาโรงพยาบาล” เจ้าหน้าที่ถาม
“ ถูกควายขวิด..” พวกเราตอบ
สองคนที่นั่งซักประวัติ ได้หัวเราะขึ้นมาพร้อมๆ กัน พร้อมมีคำพูดแบบไม่เชื่อกับคำตอบที่พวกเราตอบ
“ในกรุงเทพมีควายขวิดคน ด้วยเหรอ”
พวกเราพยายาม สะกดอารมณ์ ที่เขาแสดงกิริยา ไม่สุภาพ มีเพื่อนคนหนึ่งที่เหลืออด ตอบทวนย้อนศรกลับไปว่า
“ทำไม...กรุงเทพ จะมีควายไม่ได้ หรือไง ไม่ถูกขวิดบ้างก็แล้วไปวะ”
เขาเงียบ.. เพราะเห็นท่าทีของพวกเราจริงจัง คนหนึ่งที่เป็นเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ได้อยู่แผนกทะเบียน กล่าวคำขอโทษ แทน.. เรามาเอาเอกสารไปยังห้องตรวจ หลังจากตรวจบาดแผลและรักษาตัวแล้ว สักครึ่งชั่วโมง ก็รับตัวเพื่อนกลับมาหอพัก...
................................................................
หลังจากที่ผมกลับมาจากโรงพยาบาลตำรวจแล้ว ได้เล่าเรื่องราวนี้ ให้พระอกของเรื่องฟังว่า เจ้าหน้าที่ เขาบอกว่า ในกรุงเทพ ไม่มีควายขวิด เขาไม่เชื่อว่ามีจริง คนไข้รายนี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พร้อมยังคำรามเสียงดังว่า
"ถ้ากูได้ยินมันพูดกับหู รับรองมีเรื่องแน่ๆ.. ไอ้ห่า มาว่ากูเซ่อซ่า โดนควายขวิด ในกรุงเทพ ผิดด้วยเหรอ ที่กูอยู่กรุงเทพ แล้วควายจะขวิดกู ........ ไอ้ห่า เอ๊ย..”
เสียงครวญ.....จากเจ้าทุกข์ ..ที่พึมพำ คนเดียว
(๒๔ กค ๖๕ )
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น